เดอะ ซุยไซด์ สควอด มาสเตอร์

เดอะ ซุยไซด์ สควอด มาสเตอร์

เดอะ ซุยไซด์ สควอด มาสเตอร์

เดอะ ซุยไซด์ สควอด มาสเตอร์ ขอต้อนรับสู่เมืองนรก… คุกที่รู้จักกันในชื่อ เบลล์ รีฟ ที่มีอัตราการตายสูงสุดในสหรัฐฯ ที่กักเก็บตัวเหล่าวายร้าย พวกเขาพร้อมทำทุกทางเพื่อให้ได้ออกไป แม้จะจะต้องร่วมมือสุดยอดภารกิจลับที่เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจนในชื่อ Task Force X สำหรับภารกิจอยู่หรือตายของวันนี้? มีการรวมตัวขุนโจร ดังเช่น บลัดสปอร์ต, พีซเมคเกอร์, กัปตันบูมเมอแรง, แรตแคทเชอร์ 2, ซาแวนท์, คิงชาร์ค, กางล็คการ์ด, จาเวลิน แล้วก็นักแสดงโรคทางจิตขวัญใจทุกคนอย่าง ฮาร์ลีย์ ควินน์ มีการติดอาวุธรวมทั้งปล่อยพวกเขาไว้บนเกาะ Corto Maltese ที่เต็มไปด้วยศัตรู พวกเขาต้องเดินบุกป่าฝ่าดงที่มีทั้งเหล่าศัตรูรวมทั้งเหล่ากองโจรทุกที่ กองทัพกำลังอยู่ในภารกิจค้นหาและทำลาย โดยมี ผู้พันริค แฟล็ค คุมการกระทำของพวกเขา และหน่วยงานของ อแมนด้า วอลเลอร์ ที่คอยสั่งการทุกสิ่งทุกอย่างผ่านหูฟัง รอติดตามทุกก้าวของพวกเขา รวมทั้งเหมือนเช่นเคยที่แม้ก้าวพลาดเพียงแค่ครั้งเดียวพวกเขาต้องตาย (ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือของฝ่ายตรงข้าม ผู้ร่วมทีม หรือตัววอลเลอร์เอง) ถ้าเกิดทุกคนพร้อมลงพนัน เงินอันหอมหวลก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมพวกเขา พวกเขาทุกคน

The Suicide Squad เรต R ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดทำสถิติหนัง เรต R

ทำรายได้เปิดตัวสูงสุด เดอะ ซุยไซด์ สควอด ซับไทย เว็บไซต์ Deadline ได้รายงานว่า ‘The Suicide Squad’ ทำรายได้ในรอบพรีวิว คืนวันที่ 5 สิงหาคม 2021 ไป 4.1 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 137 ล้านบาท ซึ่งขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์เรต R ที่ทำรายได้ในคืนเปิดตัวสูงสุด แซงหน้า ‘Birds of Prey’ (2020) ที่ทำรายได้ไป 4 ล้านเหรียญ หรือโดยประมาณ 134 ล้านบาทรายได้เปิดตัวในระดับนี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์การฉายภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกา กำลังกลับมาฟื้นตัวจาก วิกฤติก COVID-19 ที่สื่อต่างประเทศมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์การฉายภาพยนตร์จะสู่สภาพการณ์ปกติอย่างน้อยในปี 2024

The Suicide Squad กับคะแนนเฉลี่ย 98%

ในตอนนี้ จัดว่าแซงหน้า “The Dark Knight” ในปี 2008 กับ “Superman: The Movie” ฉบับปี 1978 ที่เป็น 2 หนังของดีซีที่เคยได้คะแนนวิจารณ์เฉลี่ยเยอะที่สุดที่ 94% ไปได้แล้ว โดยที่ยังมีหนังดีซีอีก 2 เรื่อง ที่ได้คะแนนคำติชมเฉลี่ยแตะอยู่ในระดับ 90% ซึ่งก็คือ “Wonder Woman” (คะแนนเฉลี่ย 93%) กับ “Shazam!” (คะแนนเฉลี่ย 90%)แต่ว่าทั้งนี้คะแนนคำวิจารณ์ของ The Suicide Squad จัดว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากหนังฉบับแรก “Suicide Squad” ของผู้กำกับ “เดวิด เอเยอร์” ที่ออกฉายไปเมื่อปี 2016 เพราะว่าหนังเรื่องดังที่กล่าวถึงมาแล้วเคยทำแต้มวิภาควิจารณ์เฉลี่ยเอาไว้แค่เพียง 26% ที่นับได้ว่าเป็นหนังที่มีคะแนนวิจารณ์น้อยที่สุดในบรรดาหนังของจักรวาลดีซีด้วยกัน

จึงเปลี่ยนเป็นว่าหนังเรื่องเดียวกัน จากทั้งยัง 2 ฉบับ เปลี่ยนเป็นความไม่เหมือนกันคนละขั้วเลยทีเดียวฉบับใหม่นี้เกิดเรื่องราวของ เบลรีฟ ตารางที่มีอัตราการตายของผู้ต้องขังมากที่สุดในสหรัฐฯ ที่ที่สุดยอดคนร้ายถูกจองจำเอาไว้ แล้วก็พวกมันก็พยายามทำทุกสิ่งเพื่อจะออกมาให้ได้ แม้ว่าจะจำเป็นต้องเข้าร่วมหน่วยงานลับสุดยอด หน่วยที่ซ่อนเอาไว้ในเงามืดอย่าง Task Force X เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ไม่ทำก็ถูกตายหนังมีคิวฉายในสหรัฐฯแล้วก็อีกหลายประเทศทั้งโลกในวันที่ 5 ส.ค.นี้ เวลาที่บ้านพวกเราวางระบุฉายในวันที่ 12 เดือนสิงหาคมนี้ แต่ว่ามองจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของวัววิด-19 ขณะนี้ ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่บางครั้งอาจจะต้องเลื่อนฉายไปอีก ด้วยเหตุว่าโรงภาพยนต์ยังไม่อาจจะกลับมาเปิดให้บริการได้ หรือถ้าเกิดทรามที่สุดหนังหัวข้อนี้บางครั้งอาจจะไม่มีช่องทางได้เข้าฉายในบ้านพวกเราก็เป็นไปได้

Suicide Squad “ความขาดความกรุณาปรานีที่จำเป็น”

ในโลกอันเปรอะเปื้อนหากภาพของ “ฮอลลีวู้ด” เป็นหน้าต่างบานหนึ่งของความเป็นอเมริกัน (Americanization) และก็หน้าที่ของ “ซูเปอร์ฮีโร่” ในรูปภาพยนตร์อเมริกัน เป็นท่วงท่าของของอเมริกันที่อุตสาหะสร้างความเป็นธรรมในฐานะ “ตำรวจโลก” สำหรับเพื่อการจัดระบบโลกใหม่ภาพของวีรบุรุษอเมริกันในยุคหนึ่งก็เลยเต็มไปด้วยความใสสะอาดที่ส่งผ่านมาสู่ติดอยู่แรกเตอร์ซูเปอร์ฮีโร่สามัญประจำบ้านอย่างซูเปอร์แมน(และยังรวมไปถึงอัศวินเจได) ที่วัดคุณความดีเลวแทบแทนเป็นสีขาว-ดำ แยกกันระหว่างคุณงามความดี-ความชั่วอย่างแจ่มแจ้งแม้กระนั้นโลกภายหลังจากยุค 911 ที่อเมริกาพบกับภัยรุกรามแบบใหม่ โน่นคือ ภัยก่อเหตุร้าย ทำให้ท่าทีของ “ตำรวจโลก”

ดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วดูจะไม่ใช่สีขาวเอาชนะสีดำอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นสีอะไรก็ได้ที่เอาชนะฝั่งตรงข้ามได้ก็เป็นเพียงพอ (ซึ่งจริงๆแล้วอเมริกาก็ไม่ค่อยจะชนะหรอก)ผมเลยตั้งข้อสังเกตส่วนตัวว่า สภาวะของซูเปอร์ฮีโรในหนังฮอลลีวู้ดยุคนี้ก็เลยสลับซับซ้อนไม่ได้มีความแตกต่างกัน การนำซูเปอร์ฮีโร่มาสร้างเป็น “โฆษณาชวนเชื่อ”(Propaganda) อย่างศตวรรษที่แล้ว

คงจะไม่ง่ายอีกแล้ว สภาพซูเปอร์วีรบุรุษบนแผ่นฟิล์มถ่ายรูปในยุคนี้ก็เลยออกมาอย่างผิดแผกแตกต่างหลากหลาย และก็ยากจะแต่งแต้มสีว่าฝั่งไหนสีขาวหรือสีดำ ซึ่งแนวคิดแบบนี้ทรงพลังอย่างมากสำหรับเพื่อการเล่าถึงหนังไตรภาคแบทแมนของคริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง Batman Begins(2005) The Dark Knight(2008) และก็ The Dark Knight Rises(2012)

ยิ่งในปีนี้ ยิ่งแจ่มชัด การต่อสู้ของซูเปอร์ฮีโร่นั้น ไม่ใช่เทวดาปราบมาร อีกต่อไป วีรบุรุษทุกแบบมีวิธีการอ้างความชอบธรรมสำหรับในการใช้ “อำนาจพิเศษ” ในแบบของตัวเอง เช่นซูเปอร์วีรบุรุษเกรียนๆใน Deadpool(2016), อีกทั้งมีซูเปอร์วีรบุรุษมาซัดคุ้นเคยเพื่อวัดว่าผู้ใดกันนิยามการใช้อำนาจได้ถูกต้องกว่ากันผ่านหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Batman v Superman: Dawn of Justice(2016)

และก็ Captain America: Civil War(2016)รวมทั้งการมาถึงของ Suicide Squad(2016) เป็นเหมือนกับการจงใจวางหมุดหมายว่า โลกของซูเปอร์วีรบุรุษ เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยนับปี คริสต์ศักราช2016 นี้เป็นหลักไมล์สำคัญว่าพวกเราบางทีอาจจะมิได้เห็นฮีโร่แบบใสๆวัยรุ่นชอบอีกต่อไปแล้วด้วยเหตุว่า Suicide Squad คิดกลับกันกับหนังซูเปอร์วีรบุรุษทั้งหมดทั้งมวล โน่นเป็นแทนที่จะเอาซูเปอร์ฮีโร่มาช่วยเหลือกันรักษาโลก นี่เอาดาวร้ายมาเป็นฮีโร่กันเสียเลย นำโดยโจ๊กเกอร์(จาเรด เลโต) คู่แข่งอมตะของแบทแมน ผู้มีแฟนสาวเป็นฮาร์ลี่ ควินน์(มาร์ก็อต ร็อบบี้)

กับตัวละครอีกตัวที่เด่นในเรื่องนี้ก็คือ จอมแม่นปืนอย่าง เดดช็อต(วิล สมิธ) บวกกับตัวละครดาวร้ายอีกเยอะแยะที่มานะสร้างคาแรกเตอร์เพื่อให้คนจำเว้นแต่บั้นท้ายอันเชื้อเชิญเคลิ้มของมาร์ก็อต ร็อบบี้แล้ว ดูเหมือนหนังจะไม่สร้างความซาบซึ้งให้กับคนดูสักเท่าไหร่ ทั้งยังหน้าที่โจ๊กเกอร์ของเลโตที่เหมือนกับจานเสียงยังไม่เข้าร่อง(ที่น่าจะรอคอยพิสูจน์ตัวเองในภาคต่อไปนิดหน่อย) เนื่องจากมาตรฐานของโจ๊กเกอร์ที่ฮีด เลดเจอร์ทำไว้นั้นสูงลิบลิ่ว ทั้งยังการกำกับศิลป์ยังดูๆขาดๆเกินๆบางซีนงามชักชวนฝัน บางซีนมีความใกล้เคียงหนังเกรดบี ที่ถ้าหากไม่ซีเรียสสำหรับการมองมาก ก็คงจะบันเทิงใจแบบท้วมๆ

แต่ว่าแม้พักการติชมเนื้อหาแล้วก็แบบลงบ้าง แล้วมาดูสาร “ระหว่างบรรทัด” ของหนังเรื่องนี้ กลับมีประเด็นที่น่าดึงดูดดังที่เกริ่นไว้ยาวๆว่าซูเปอร์ฮีโร่แบบซูเปอร์แมนบางครั้งก็อาจจะตายไปแล้ว นั่นด้วยเหตุว่าวิธีคิดสำหรับเพื่อการทำหนังสมัยใหม่ นั้น “สีเทา” ของมาตรฐานจริยธรรมนั้นขับเน้นย้ำให้เด่นออกมากระทั่งนึกถึงคำว่า “ความเหี้ยมโหดที่จำเป็นจะต้อง” (Necessary evil) ซึ่งแทนที่มนุษย์ควรต้องเลือกสิ่งที่เยี่ยมที่สุด หรือความดีสูงสุด แต่ว่าตัวเลือกในโลกกลับย่อให้เหลือเพียงแค่ เลือกสิ่งที่ชั่วช้าสารเลว กับความเลวที่น้อยกว่า แน่นอนว่า

ถ้าเกิดเลือกได้เพียงเท่านี้ก็คงจะจำเป็นต้องเลือกความขาดความกรุณาปรานีที่น้อยกว่าในความจริง โลกไม่เคยสวย ความ “โลกงาม” มันบางทีอาจจะปรากฏอยู่เพียงแต่โลกในอุดมคติหรือวรรณกรรมยูโทเปียเท่านั้น แต่โลกความเป็นจริง พวกเราบางทีอาจจะจำเป็นต้องเลือกอะไรสักอย่างที่บางครั้งก็อาจจะไม่ใช่ความดีงาม แต่มัน pragmatic หรือใช้ได้จริงในทางปฏิบัติกับโลกใบนี้ ก็ทำๆกันไปไม่แน่ใจว่า นี่เป็นสารที่อเมริกันกำลังจะบอกเราผ่านฮอลลีวูดหรือเปล่า เนื่องจากว่ายิ่งนึกถึงบรรยากาศของอเมริกันในเวลานี้ที่กำลังรณรงค์แคมเปญลงคะแนนเสียงกันมันน่าคิดมากมายๆว่า ทิศทางของอเมริกากับแนวทางของหนังซูเปอร์วีรบุรุษในอนาคตจะออกมาในแบบอย่างได้รอกันไป ตอนจบยังมาไม่ถึง

กลับสู่หน้าหลัก https://www.boycottford.com