ฝาก ขาย บ้าน ที่ไหน ดี
ฝาก ขาย บ้าน ที่ไหน ดี หากต้องการจะให้กล่าวถึงการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ที่เคยชินกันตามเดิมแล้ว ยังมี “ ขายฝาก ” ที่เป็นธุรกรรมอีกชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่สำคัญสำหรับเพื่อการค้าขายเปลี่ยนมืออสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรามานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมต่างจังหวัด ในทางปฏิบัติแล้ว ธุรกรรม ชนิดนี้มีแง่มุมด้านกฎหมายที่จำต้องรู้ ต้องรู้เรื่อง และก็ต้องระวังอยู่หลายใจความสำคัญด้วยกัน ถ้าหากไม่ให้ความสนใจอาจจะทำให้ผู้กระทำคำสัญญาชนิดนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบได้อย่างง่ายๆและก็อาจจะทำให้ที่ดินและก็บ้านของท่านเอง ต้องหลุดมือไปขายฝาก เป็นอย่างไร?ขายฝากเป็นสัญญาซื้อขายชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อขายฝากไปแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะตกไปยังผู้บริโภคฝาก ก็แค่มีกติกากันว่าผู้ขายฝาก อาจไถ่สินทรัพย์นั้นคืนได้ภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนดกันไว้ อันที่จริงแล้วเงินทุกจำพวกสามารถเอามาขายฝากได้หมด ไม่ว่าเป็น สังขอบทรัพย์สิน หรือ อสังหาริมทรัพย์ ก็ตาม แต่ว่าในบ้านเราที่นิยมทำกันแพร่หลายที่สุด เช่นการขายฝากอสังหาริมทรัพย์
แนวทางการขายฝากบ้านและขายฝากคอนโดในระบบด้วยนายทุนในระบบแนวทางการขายฝากบ้านรวมทั้งคอนโดมีจุดหมายตั้งเพื่อช่วยเหลือคนที่ขาดสภาพคล่อง คนที่เป็นหนี้นอกระบบที่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ยสูงมากมาย ผู้ที่อยากเงินทุน คนที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ยืมของสถาบันการเงินได้เพราะติดแบล็กลิสต์
หรือเปล่าเคยสร้างเครดิตธนาคารมาก่อน เชื่อมโยงผู้ลงทุนในระบบ สำหรับคนที่ปรารถนา ขายฝากบ้าน รวมทั้งคอนโด ที่ไม่ผิดกฎหมายจริง ไม่เอาเปรียบ ไม่ใช่นักลงทุนนอกระบบ เที่ยงธรรม สำนักงานกึ่งกลางที่กรุงเทพมหานครวิธีขายฝากบ้านรวมทั้งขายฝากคอนโดขายฝากดอก ขายฝาก
น้อยที่สุดบริการเปลี่ยนนายทุนรับให้คำปรึกษา โดยทีมผู้ที่มีความชำนาญ ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรก็แล้วแต่ทั้งสิ้นนิติกรรมทุกสิ่งทุกอย่างทำที่กรมที่ดิน ถูกตามกฎหมายวิถีทางแหล่งเงินทุน แพลตฟอร์มขายฝากอสังหาริมทรัพย์จำพวกต่างๆดังต่อไปนี้ ที่ดิน คอนโด บ้าน
อพาร์ทเมนท์ อาคารการค้าขาย ทาวน์โฮม ทาวน์เฮาส์ โรงแรม ที่พักอพาร์เม้นท์ และอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทมีทีมผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำปรึกษา และข้อมูลที่ครบสมบูรณ์ ชัดเจน
การขายฝากที่พักที่อาศัย กับอะไรบางอย่างที่คนไม่ใช่น้อยยังไม่รู้เรื่องก่อนจะไปสู่รายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางการขายฝาก ผู้เขียนบทความจะขออธิบายถึงความต่างของคำ 4 คำนี้ก่อน เพื่อที่จะได้มีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
1. แนวทางการขายอสังหาริมทรัพย์ (Selling) เป็นการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ (Title) ในอสังหาริมทรัพย์จากคนขายไปสู่คนซื้อ และก็วิธีขายที่พักอาศัยโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยมือสองเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะขายยาก ใช้เวลานาน โดยเหตุนี้เมื่อมีการเปลี่ยนในเจ้าของแล้ว คนขายย่อมหมดสิทธิ์ที่จะพักอาศัย
หรือใช้ประโยชน์จากที่อยู่อาศัยนั้นต่อ เช่นเดียวกับภาษีที่ดินและก็สิ่งก่อสร้าง ค่าส่วนกลาง (หากมี) ก็จะเป็นภาระของผู้ซื้อ หรือผู้ครอบครองใหม่ไปด้วย แม้วันใดวันหนึ่งเกิดมีความต้องการจะพอดีอาศัยคืน ก็จำเป็นต้องไปพูดจากับเจ้าของใหม่เอาเองซึ่งบางทีก็อาจจะขายหรือไม่ยอมขายก็ได้
2. การฝากขายที่อยู่ที่อาศัย (Consignment) เป็นการที่เจ้าของที่พักอาศัย หรือคนขายได้ให้อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งในอสังหาริมทรัพย์จะเรียกว่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Broker) ปฏิบัติภารกิจหาผู้บริโภค รวมทั้งช่วยขายที่อยู่ที่อาศัย หรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเรียกสั้นๆว่า “ลิสต์”
ซึ่งมาจากคำเต็มว่า Property Listing หรือทรัพย์สินที่จะนำไปขายนั่นเอง แทนเจ้าของสินทรัพย์ เนื่องจากว่าที่อยู่ที่อาศัยใช้เวลานานสำหรับในการขาย รวมทั้งผู้ซื้อมักจะขอดูที่อยู่ที่อาศัยจริงบ้าง เอกสารสิทธิบ้าง ทำเรื่องขอกู้อีก ผู้ครอบครองสมบัติพัสถานหรือคนขายก็เลยชอบฝากให้นายหน้าอสังหาริมทรัพย์จัดการเรื่องจุกจิกนี้แทน
ย้ำอีกรอบว่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์นั้นปฏิบัติภารกิจให้คนซื้อและผู้ขายมาพบ แล้วก็ตกลงจำหน่ายกัน คนกลางไม่ได้มีสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ที่ขายแต่อย่างใด โดยนายหน้าจะได้รับค่าจ้างเป็นบำเหน็จ หรือค่าคอมมิชชั่น (Commission) ที่คุ้นหูกัน โดยทั่วไปชอบคิดกันที่จำนวนร้อยละ 3 ของมูลค่าซื้อขายที่พักที่อาศัย ด้วยเหตุนั้นการฝากขายอสังหาริมทรัพยืก็คือวิธีขายอสังหาริมทรัพย์โดยอาศัยคนกลางทางการตลาด
3. วิธีขายฝากที่อยู่อาศัย (Sale with a right of redemption) คือแนวทางการขายที่อยู่อาศัย ซึ่งแปลว่ากรรมสิทธิ์ในที่พักที่อาศัยได้ถูกโอนจากคนขายไปสู่ผู้ซื้อแล้ว แม้กระนั้นขายฝากนั้นคนขายมีสิทธิ์สำหรับในการที่จะซื้อที่พักที่อาศัยนั้นคืนภายในระยะเวลา
และก็ราคาที่ได้ตกลงกันไว้ (แต่จำเป็นต้องไม่ตรงข้ามข้อบังคับวิธีขายฝาก ทั้งนี้กฎหมายแนวทางการขายฝากนั้นสามารถลงนามขายฝากได้สูงสุด 10 ปี แล้วก็สามารถคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี) ดังนั้นแนวทางการขายฝากก็เลยมีความไม่เหมือนจากแนวทางการขายทั่วไปตรงที่คนขายสามารถที่จะขอซื้อคืนได้ภายในช่วงระยะเวลา แล้วก็ราคาที่ตกลงกัน แม้กระนั้นความเหมือนกันคือเจ้าของในที่พักที่อาศัยได้ถูกเปลี่ยนมือแล้ว
และถ้าคนขายฝากไม่อาจจะหารายได้มาซื้อคืนได้ทันตามเวลาที่ได้ตกลงกัน เจ้าของในที่พักที่อาศัยนั้นได้ถูกเปลี่ยนมืออย่างสมบูรณ์โดยที่ไม่ต้องฟ้องร้องคดีต่อศาล นี่คือความน่าสยองของการขายฝากที่ทำให้คนส่วนมากจำเป็นต้องสูญเสียกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์
ผู้อ่านบทความผู้คนจำนวนมากบางครั้งก็อาจจะมีความคิดว่าไหนๆก็จะขายอยู่รวมทั้งขายไปเสียเลย ทำไมจะต้องไปขายฝากด้วย ซึ่งเหตุผลจากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ตามธรรมดาค่อนข้างจะขายยาก
แล้วก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ว่าการชายฝากนั้นคนที่กำหนดราคาขายฝากนั้นไม่ใช่เจ้าของสินทรัพย์หรือผู้ขายฝาก แต่ผู้บริโภคฝากหรือนักลงทุนเป็นผู้กำหนด ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับการขายฝาก (ในเชิงปฏิบัติ) จะอธิบายถัดไป
4. การจำนำ (Mortgage) เป็นการกู้ยืมโดยใช้ที่พักอาศัยเป็นหลักสินทรัพย์ในการรับรอง การจำนองก็เลยไม่ใช่แนวทางการขายที่พักอาศัย ด้วยเหตุดังกล่าวเจ้าของในที่พักอาศัยยังเป็นของผู้กู้อยู่
ดังนี้ผู้กู้จึงยังคงใช้คุณประโยชน์ในที่อยู่ที่อาศัยได้ รวมถึงยังมีบทบาทจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แล้วก็ค่าศูนย์กลาง (ถ้าหากมี) ซึ่งถ้าเกิดผู้กู้ไม่อาจจะจ่ายและชำระหนี้พร้อมดอกคืนแก่ผู้ให้กู้คืนได้ ผู้ให้กู้ไม่อาจจะยึดเอาที่พักอาศัยมาเป็นของตนได้ แต่จำเป็นที่จะต้องฟ้องร้องต่อศาล ดังนั้นการจำนองจึงไม่ใช่วิธีขายที่อยู่อาศัย แม้กระนั้นเป็นหลักสินทรัพย์สำหรับในการค้ำประกันการกู้ยืมเงิน
จากความหมายของคำทั้ง 4 คำที่ได้กล่าวมามีไม่เหมือนกันในตัวเอง แต่มีความคล้ายกันอยู่อย่างหนึ่งคือเจ้าของที่อยู่อาศัยมีความต้องการใช้เงินวิธีขายฝากนั้นชอบพบได้จากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ แต่ว่าปัจจุบันมีนายทุน (หรือคนซื้อฝาก) ที่ทำธุรกิจรับซื้อฝากเยอะๆ
ดังนี้นักลงทุนที่รับซื้อฝากชอบผ่านบริษัทหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริษัทหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ที่รอสกรีนลูกค้า (หรือคนขายฝาก) มาให้ รวมถึงการตรวจดูเงินทองที่จะรับซื้อฝากการขายฝากนั้นชอบให้จำนวนเงินมากกว่าการจำนอง อย่างในขณะนี้บางครั้งก็อาจจะเคยได้ยินว่าให้วงเงินมากถึงจำนวนร้อยละ 60 -70 ของราคาประเมิน แต่ว่านักเขียนบทความขอเรียนให้รู้ก่อนว่า
วิธีการวัดราคาทรัพย์สินนั้นมี 3 แนวทางด้วยกัน คือ
1.แนวทางทุน (Cost Approach) ซึ่งการประมาณราคาเงินทองแนวทางลักษณะนี้เป็นแนวทางการประเมินสินทรัพย์ตามต้นทุนที่ได้มา แล้วมีการหักค่าเสื่อมราคาของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างตามระยะเวลา ฉะนั้นกรรมวิธีการประเมินเงินทองด้วยแนวทางนี้ก็เลยทำให้ราคาประเมินเงินทองมีมูลค่าที่ค่อนข้างจะต่ำลงมากยิ่งกว่าความจริง (ซึ่งการประเมินราคาของทางภาครัฐโดยกรมธนารักษ์ก็ได้ใช้กรรมวิธีนี้)
2.วิธีตลาด (Market Approach) การคาดการณ์ราคาด้วยแนวทางนี้จะนึกถึงอุปสงค์รวมทั้งอุปทานของสินทรัพย์ โดยอาจจะมีการเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ที่อยู่ข้างเคียง โดยเหตุนั้นการประมาณราคาเงินด้วยแนวทางนี้จึงมักจะได้ราคาที่สูงกว่าแบบแนวทางเงินลงทุน
3.วิธีรายได้ (Income Approach) ซึ่งวิธีการประเมินราคาทรัพย์สินด้วยวิธีการนี้เหมาะสมกับเงินทองที่ก่อกำเนิดรายได้ (Income Producing Property) หรือสินทรัพย์เชิงการค้า เช่น ศูนย์การค้า โฮเต็ล อาคารสำนักงานให้เช่า เป็นต้นวิธีขายฝากนั้นมีบอกว่าให้วงเงินสูงถึงร้อยละ 60-70 ของราคาประเมินนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแค่ราคาประเมินนั้นเป็นการประเมินด้วยวิธีการทุน หรือใช้ราคาประเมินของกรมธนารักษ์นั่นเอง
แต่ว่าผู้ขายฝากยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกพอควรที่จะจะต้องจ่าย ดังเช่นว่า 1.ค่าทำงาน หรือค่าปากถุงอีกจำนวนร้อยละ 5 ของวงเงิน 2.ดอกที่ไม่ผิดกฎหมายอีกไม่เกินปริมาณร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งธรรมดามักจะมีการหักดอกล่วงหน้าไว้บางส่วน เพื่อคุ้มครองป้องกันผู้ขายฝากจะไถ่คืนเงินทองก่อน
รวมทั้งอาจจะก่อให้ผู้บริโภคฝากบางครั้งก็อาจจะไม่คุ้มกับการลงทุน 3.ค่าตอบแทนอีกปริมาณร้อยละ 3 ด้วยเหตุว่าบริษัทหรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เปรียบได้ดั่งตัวกลางที่ทำให้คนขายฝาก (ผู้ครอบครองทรัพย์ หรือคนที่อยากได้ใช้เงิน) รวมทั้งผู้ซื้อฝาก (หรือผู้ลงทุน) ได้มาเจอกัน (Matching) 4.แนวทางการขายฝากซึ่งก็คือการขาย
อสังหาริมทรัพย์ โดยเหตุนั้นผู้ขายฝากจำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือค่าโอนอีกจำนวนร้อยละ 2 (แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการลดค่าโอนอสังหาริมทรัพย์เหลือร้อยละ 0.01 แต่การขายฝากนั้นมิได้เข้าเงื่อนไขการผ่อนปรนค่าโอน ด้วยเหตุว่าไม่ใช่เงินมือชั้นยอด) แล้วก็ค่าโอนนี้ไม่ได้แบ่งกันคนละครึ่ง (หรือร้อยละ 1)
เหมือนการซื้อ-ขายทั่วๆไป นอกนั้นผู้ขายฝากยังจำเป็นต้องเสียภาษีเงินบุคคลปกติหัก ณ ที่จ่าย แล้วก็ภาษีธุรกิจเฉพาะอีกปริมาณร้อยละ 3.3 ในกรณีถือครองทรัพย์สินที่ขายฝากไม่ถึง 5 ปี (หรือมีชื่อในใบสำมะโนครัวของเงินทองที่ขายไม่ถึง 1 ปี) แต่ถ้าเกิดคนขายฝากครองเงินทองเกิน 5 ปี ก็จะเสียอากรแสตมป์จำนวนร้อยละ 0.5 และก็ค่าเอกสาร พยาน อีกจำนวนน้อย
คนเขียนขอยกตัวอย่างเพื่อความรู้ความเข้าใจดังนี้ สมมติว่าผู้ขายฝากมีห้องชุดพัก (ห้องชุด) พื้นที่ 73 ตารางเมตร ซื้อมาในราคา 4 ล้านบาท แต่ราคาประเมินของกรมธนารักษ์อยู่ที่ตารางเมตรละ 34,500 บาท ฉะนั้นราคาประเมินของแฟลตดังที่กล่าวถึงมาแล้วที่บริษัทหรือผู้แทนประเมินได้จะอยู่ที่ประมาณ 2,500,000 บาท (จำนวนเงินต่างๆมักจะมีการปัดลง แล้วก็ทำให้เป็นเลขตัวกลม)
รวมทั้งให้วงเงินการรับซื้อฝากราวร้อยละ 70 ผู้ขายฝากจะได้รับวงเงินการซื้อฝากในคราวนี้อยู่ที่ราวๆ 1,700,000 บาท โดยทั่วไปผู้บริโภคฝากชอบทำคำสัญญาซื้อฝากหนแรกไว้ที่ 1 ปี ด้วยเหตุดังกล่าวดอกที่ผู้บริโภคฝากจะสามารถคิดกับคนขายฝากได้อยู่ที่ 255,000 บาท ค่าปากถุงอิกร้อยละ 5 ของวงเงิน
ค่าตอบแทนอีกจำนวนร้อยละ 3 ของวงเงิน และผู้ขายฝากยังควรจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับการโอน ภาษีรายได้หัก ณ ที่จ่าย และก็อากรแสตมป์ (สมมุติว่าถือสิทธิ์เจ้าของในทรัพย์สินเกิน 5 ปี) ซึ่งค่าใช้จ่ายในหมวดหลังนี้จ่ายที่กรมที่ดินรวมอีกโดยประมาณ 175,500 บาท
จากตัวอย่างที่ยกมานั้นเป็นตัวอย่างการซื้อขายฝากกันจริง ดังนั้นการที่บริษัทหรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่าให้วงเงินสูงก็เป็นการกล่าวที่ถูก ก็แค่ราคาประเมินใช้การประเมินราคาขั้นตอนการใดมิได้กล่าวไว้ การคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ของวงเงินซื้อฝากก็เป็นไปตามที่ข้อบังคับระบุ รายจ่ายพวกค่าปากถุง
ค่าตอบแทน ก็เป็นค่าใช้สอยอันเป็นธรรมที่บริษัทหรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์พึงจะได้รับ เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายที่กรมที่ดินก็เป็นค่าใช้จ่ายที่คนขายฝากจะต้องเป็นผู้จ่าย เพราะว่าคนขายฝากเป็นคนที่มีเงินได้จากวิธีขายฝากในคราวนี้ โดยเหตุนี้ผู้ขายฝากอย่าได้ฉงนใจว่าเพราะอะไรแฟลตราคาตลาดอยู่ที่ 4 ล้านกว่าบาท
แต่ว่าพอนำมาขายฝากก็เลยเหลือเพียงโดยประมาณ 1.3 ล้านบาทผู้เขียนบทความมีความคิดกันว่าผู้อ่านบทความหลายๆท่านบางครั้งก็อาจจะสงสัยว่าถ้าเกิดขายฝากแล้วได้เงินแค่เพียงโดยประมาณ 1.3 ล้านบาท เพราะเหตุไรไม่ขายห้องเช่าไปเสียเลย เพราะเหตุไรต้องเอามาขายฝากด้วย
คำตอบที่ให้ได้คือ บางทีผู้ขายฝากต้องการเงินด่วน (หรือร้อนเงิน) แม้กระนั้นยังไม่ได้อยากต้องการจะขายสินทรัพย์เสียในทันที (เพราะว่าแนวทางการขายฝากนั้นผู้ขายฝากมีสิทธิสำหรับในการซื้อคืนได้ตามระยะเวลาที่ตกลงกัน) แต่ว่าถ้าจะกระทำการกู้รวมทั้งใช้ห้องชุดเป็นหลักทรัพย์สิน ฝากขายบ้านที่ไหนดี สำหรับเพื่อการค้ำประกันเงินกู้ยืมก็จะได้วงเงินที่น้อย โดยธรรมดาจะอยู่ที่ราวๆจำนวนร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สิน
และเมื่อหักค่าใช้สอยต่างๆก็คงจะเหลือเงินเพียงหนึ่งล้านกับอีกเล็กน้อย และก็ผู้กู้จำเป็นที่จะต้องเสียดอกเบี้ยให้กับนายทุนเป็นปริมาณคงที่อีกทุกๆเดือน รวมทั้งเมื่อถึงกำหนดการไถ่ถอนจากจำนำก็นำเงินเต็มปริมาณมาไถ่อน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้กู้ (มิได้เรียกว่าผู้ขายฝากแล้ว เนื่องจากว่าครั้งนี้เป็นการกู้) จะได้รับเงินราว 1,077,000 บาท นอกเหนือจากนี้ผู้กู้จำเป็นต้องจ่ายดอกให้กับนายทุนอีกทุกเดือนๆละ 15,000 บาท ตราบจนกระทั่งจะไถ่คืน รวมทั้งถ้าต้องการจะไถ่คืนผู้กู้
จึงควรนำเงินมาชำระแก่นายทุนเป็นจำนวน 1.2 ล้านบาทคนเขียนบทความมีความเห็นว่าคนอ่านบทความหลายๆท่านบางครั้งอาจจะสงสัยอีกว่าแม้กู้จากนายทุนแล้วได้เงินกู้น้อยอย่างงี้ หันไปกู้จากแบงค์ไม่ดีกว่าหรือ เพราะว่าจะได้วงเงินที่สูงกว่า
ดอกเบี้ยเงินกู้น้อยกว่า และช่วงเวลาการผ่อนคลายก็ยาวนานกว่า คำตอบที่ผู้เขียนบทความจะให้ได้ก็คือ แม้จะกู้จากธนาคารจะใช้ช่วงเวลาสำหรับในการพินิจพิจารณาสินเชื่อที่ยาวนานกว่า ขอเอกสารเยอะแยะ ดังเช่นว่า เอกสารเกี่ยวกับรายได้ของผู้กู้เพราะเอกสารนี้จะเป็นตัวแสดงถึงความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการจ่ายหนี้ของผู้กู้ รวมทั้งจะส่งผลถึงข้อตกลงของการกู้ เป็นต้นว่า อัตราค่าดอกเบี้ย
ช่วงเวลาการกู้ยืม จำนวนเงินที่จำเป็นต้องผ่อนในแต่ละเดือน ฯลฯ รวมทั้งที่สำคัญเป็นการกู้ยืมจากแบงค์จะมีการวิเคราะห์ประวัติข้อมูลเครดิตของผู้กู้ หรือ “เครดิตบูโร” รวมไปจนถึงคะแนนเครดิต หรือ Credit Scoring ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ธนาคารชอบไม่ยอมรับสินเชื่อแม้คะแนนเครดิตของผู้กู้ต่ำลงมากยิ่งกว่าที่แบงค์กำหนด
แต่การขายฝาก หรือการยืมจากนายทุนตามที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะไม่มีการพิจารณาประวัติความเป็นมาข้อมูลเครดิต (เครดิตบูโร) และก็คะแนนเครดิตอะไร นี่ก็เลยเป็นเหตุผลที่ผู้กู้ หรือผู้ขายฝากจะได้รับเงินออกจะแน่นอน และก็ช่วงเวลาอันรวดเร็ว (บางครั้งเพียงแค่ 2-3 วันก็ได้รับเงินแล้ว)
ฉะนั้นแล้วคนเขียนบทความต้องการให้คนขาย หรือผู้กู้ได้ใส่ใจให้ดีว่าจำนวนเงินที่ได้มานั้นต้องมีเหตุจำเป็นต้องใช้จริงๆแล้วก็ควรจะเอามาเท่าที่มีความจำเป็นเพียงแค่นั้น อาทิเช่น นำมาชำระหนี้นอกระบบที่ดอกสูงขึ้นยิ่งกว่า หรือนำมาชำระสินเชื่อบุคคลกับสถาบันการเงินที่ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 26 ต่อปี รวมทั้งต้องแน่ใจว่าจะสามารถหาเงินมาไถ่คืนเงินนั้นได้ และก็ยิ่งถ้าหากว่าเงินที่เอามาขายฝาก